วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558

First Challenge : MG3 Hatchback & Xross "Hello Fun" ชีวิตไหน สไตล์ไหนก็ FUN!!

โอ๊ย!!...ทำไมมันร้อยอย่างนี้ฟ๊ะ!! นี่ไม่ใช่อะไรหรอกครับ แต่เป็นเสียงบ่นของผมเองแหละ ก็แหงสิเมืองไทยจะร้อนอะไรขนาดนี้เนี่ย ยิ่งเข้าเดือนเมษายนแบบนี้ด้วยคงไม่ต้องอธิบายให้ยากเลย แต่ความร้อนแรงมันชั่งไม่สอดคล้องกับงานแสดงรถสุดยิ่งใหญ่อย่าง Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 36 นี้เท่าไหร่เลย โดยตั้งเป้ายอดจองภายในงานไว้ที่ 40,000 คัน แต่ทำได้เพียง 37,027 คันเท่านั้น!! แต่รถที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือรถกลุ่ม Segment ซึ่งมีรถเปิดตัวใหม่ 2 รุ่นด้วยกัน คือ All New Mazda 2 เครื่องยนต์เบนซิน และ MG3 ค่ายน้องใหม่ที่ได้รับกระแสตอบรับดีเกินคาด ทั้งยอดจองของ MG ในงานมอเตอร์โชว์รวมทั้งหมด 746 คัน (ค่าย MG มีสองโมเดล MG6 และ MG3) และการจัดงานเปิดตัว MG3 ทั่วประเทศอีกด้วย...!!



หลังจากที่ MG ได้เปิดตลาดเมืองไทยด้วย MG6 ซึ่งเอาเข้าจริงก็มียอดขายไม่ได้มากมายอะไร โมเดลต่อมาคือ MG3 ซึ่งรูปร่างหน้าตาก็ไม่ต้องลุ้นถึงขนาดฟังหวยเลขท้าย 2 ตัวออกหรอก ก็มีในอินเตอร์เน็ตเกลื่อนไปหมด เพราะ MG3 เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2011 ที่ประเทศจีน โดยนักวิศวกรชาวอังกฤษเป็นผู้สร้าง กว่าจะเข้าไทยก็ปาไป 4 ปีแล้ว ด้วยราคาบวกกับ Option ที่สวยหรูมันจึงทำให้คนไทยหันมาสนใจและอยากจะจับจองเป็นเจ้าของกันโดยปริยาย (ซึ่งผิดกับตอน MG6 เปิดตัวจริงๆ)

ก่อนที่เราจะได้เห็น MG3 ในวันนี้ เราลองย้อนกลับไปดูวิวัฒนาการของน้องเล็กว่าเคยเป็นอย่างไรมาก่อน

 MG Metro (1980 - 1990)

รุ่นนี้อยู่ในช่วงมีการเปลี่ยนเจ้าของเป็น Rover Metro (1990 - 1995)


Rover 100 (1995 - 1998)


Rover Streetwise รุ่นนี้อยู่ในช่วงที่มีการเปลี่ยนเจ้าของ(อีกแล้ว)จีนซื้อไป และขายในจีนชื่อ MG 3 SW (2003–2005)
MG3 รุ่นปัจจุบันเปิดตัวและจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี 2011 ที่ประเทศจีน จำหน่ายที่อังกฤษปี 2013

          โชคดีที่จังหวัดที่ผมอยู่มีศูนย์ MG จึงเป็นเรื่องดีที่ผมจะได้เข้าไปสัมผัสตัวเป็นๆ ซึ่งเขาก็ได้จัดงานเปิดตัวและรับจองเมื่อวันที่ 28-29 กุมถาพันธ์ที่ผ่านมา ผมเดินทางออกจากบ้านเป็นระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร ฝ่าสภาพอากาศที่ต้องบอกว่า “โคตรร้อน” พอไปถึงงานถือว่าจัดงานได้ใหญ่พอสมควร มี MG3 และรุ่น Xross หลายสีจอดเรียงกันซึ่งมันก็สามารถเรียกแขกเข้างานได้ไม่น้อยเลยครับ ภายในงานมีการจัดลานให้ทดลองขับและการขับ MG3 โชว์จากนักขับมืออาชีพ แต่ชั่งเถอะเรามาดูราคาของรถรุ่นนี้กันดีกว่าว่าเป็นอย่างไรก่อนที่จะเข้าไปดูรถกัน

MG3 จะมีให้เลือกหลักๆอยู่ 2 ตัวถัง คือรุ่น Hatchback และรุ่น Xross(ครอส)
MG3 รุ่น Hatchback จะแบ่งออกเป็น 3 เกรด ได้แก่
รุ่น ราคา 479,000 บาท
รุ่น ราคา 509,000 บาท
รุ่น X SUNROOF  ราคา 559,000 บาท
และ MG3 รุ่น Xross มีเพียงเกรดเดียว
รุ่น X SUNROOF ราคา 595,000 บาท

เหมือนจะเป็นสัจธรรมโลกที่ตัวจริงมักจะสวยกว่าในรูป รูปลักษณ์หน้าตาของ MG3 Hatchback ที่ดูเหมือนจะน่ารักก็ไม่ จะดูสปอร์ตก็ไม่อีกแหละ การดีไซต์จะออกแนวเรียบๆนะ ดูจากไฟหน้าที่ดูแสนจะธรรมดาแต่ก็มีส่วนที่ทำให้รู้สึกโดดเด่นขึ้นมาอยู่นะ ด้วยการเฉือนให้มีส่วนแหลมสอดรับกับกระจังหน้า ส่วนล่างจะมีไฟ Daytime Runing Light แบบ LED ผมนับได้ 5 ดวงเรียงต่อกัน แต่จะไม่มีไฟตัดหมอกหน้ามาให้ เส้นสายด้านข้างมีปาดพอให้ได้อารมณ์ ด้านท้ายนั้นจะความเหลี่ยมที่เกิดจากไฟท้ายที่ลากลงมาจากหลังคาก่อนที่จะมาบรรจบครบเส้นเดียวกันกับฝาประตูท้าย และมีอีกที่ที่ผมชอบก็คือปลายท่อไอเสียแบบสแตนเลสทรงเหลี่ยม ดูแล้วได้อารมณ์ดีครับ MG3 Hatchback มีความยาว 4,018 มม. กว้าง 1,728 มม. และสูง 1,517 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 158 มม.

ส่วนรุ่น Xross เองก็จะมีความแตกต่างกันแต่ไม่มาก ด้วยการจัดชุดกันชนหน้าใหม่ให้ดูเท่ขึ้น ลุยขึ้น และมีการใส่ไฟตัดหมอกหน้ามาให้ด้วย มีการ์ดกันกระแทกรอบคัน กันชนท้ายใหม่ และราวหลังคาให้ด้วยแบบว่าเอาใจคนชอบเดินทางว่างั้นเถอะ ถึงจะเป็นรถรุ่นเดียวกันแต่การเสริมเติมแต่งเพียงเล็กๆน้อยๆก็สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจน. MG3 Xross มีความยาว 4,079 มม. กว้าง 1,739 มม. สูง 1,528 มม. และมีระยะต่ำสุดจากพื้นสูงกว่ารุ่น Hatchback เพียง 10 มม.เท่านั้น!!




 MG3 Hatchback
MG3 Xross

อ้อ!!..ลืมบอกไปว่ามีอีกจุดเล็กๆถ้าสังเกตดีๆถึงจะเห็นนั่นก็คือภายในโคมไฟหน้าจะมีการสลักคำว่า “MG” เข้าไปด้วยช่วยเพิ่มอารมณ์สปอร์ตขึ้นมาอีก ล้อแม็กซ์ของรุ่น Hatchback จะได้เป็นอัลลอยด์ 15 นิ้ว ขนาดยาง 185/65R15 ในรุ่นเกรด D,X ส่วนรุ่นเกรด C จะได้ล้อกระทะพร้อมฝาครอบล้อ 14 นิ้ว ขนาดยาง 185/70R14 รุ่นตัวถัง Xross จะได้อัลลอยด์ 16 นิ้ว ขนาดยาง 195/55R16

มาดูภายในห้องโดยสารกัน...เอ๊ะๆๆ!! เดี๋ยวก่อนนะ ทุกท่านลองจับจ้องไปที่มือเปิดประตูซิครับ เห็นแบบนี้ผมนึกถึงมือเปิดของ Honda Jazz โฉมก่อนหน้านี้เลย จะบอกว่าโบราณก็คงจะไม่ผิดนะและผมก็ไม่ชอบที่เปิดแบบนี้ด้วยสิ แต่ไม่เป็นไรก็มันรถมันปี 2011 นี่นา เปิดประตูเข้าไปชมด้านในพร้อมสไลด์ลงเบาะอย่างเบาๆ อย่างแรกที่ผมสังเกตคือวัสดุแผงคอนโซลหน้า มันเป็นพลาสติกสีดำหยาบๆ ผมลองเอามือเอากำปั้นทุบๆลงไปแล้ว..คือมันปึ๊กนะ รู้สึกว่าแน่นดีมาก ถึงแม้วัสดุจะมีผิวสัมผัสที่แข็งและหยาบๆไปสักหน่อย แต่คุณภาพก็โอเคนะ ไม่ก๊อกๆแก๊งๆ บรรยากาศภายในห้องโดยสารดูค่อนข้างโปร่ง ไม่แคบหรืออึดอัดเกินไป พวงมาลัยแปลกตาทรงสามก้านตกแต่งด้วยวัสดุสีเงินเอาไว้พร้อมกับปุ่มควบคุมเครื่องเสียงที่มีมาให้ทุกรุ่น ยกเว้นรุ่น Hatchback เกรด C และพวงมาลัยหุ้มหนังเย็บด้ายแดงเฉพาะรุ่น Hatchback เกรด X และรุ่น Xross มาตรวัดสองวงดีไซต์ไว้อย่างง่ายไม่หวือหวา ส่วนด้านบนของคอนโซลหน้าจะมีหลุมลึกลงไปเป็นที่เสียบเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆพร้อมฝาปิดแบบสไลด์ อันนี้ชอบนะ สามารถใช้เป็นที่เก็บของได้และอาจจะเป็นที่วางจอได้ด้วยถ้าใครอยากใส่ เพราะทุกรุ่นย่อยไม่มีจอมาให้นะจ้ะ ช่องแอร์ เครื่องเสียง และปุ่มควบคุมต่างๆถูกออกแบบเป็นรูปวงรีเหมือนกันเด๊ะ เล็กใหญ่สลับกันไป ระบบเครื่องเสียง วิทยุ-ซีดี MP3 1 แผ่น มีระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านบลูทูธ ลำโพง 4 ตัวในรุ่น Hatchback C และ D ส่วนรุ่น X และรุ่น Xross จะได้ลำโพง 6 ตัว

คันเกียร์มีการปั้มตราสัญลักษณ์ MG3 ลงไป ใกล้ๆเบรคมือจะเป็นช่องเสียบไฟ 12V, ไฟฉุกเฉิน และปุ่ม Traction Control System กันล้อหมุนฟรีและลื่นไถล ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่เพราะรถยนต์ส่วนใหญ่จะวางไว้ใกล้ๆคอนโซลหน้า และพระเอกของรถรุ่นนี้คือ..(แหงนหน้าขึ้นดูบนหลังคาสิครับ) มันคือหลังคา Sunroof นั่นเอง!! ซึ่งจะมีเฉพาะรุ่น Hatchback เกรด X และรุ่น Xross เท่านั้น และถือว่าเป็นรถที่มีซันรูฟที่ถูกที่สุดด้วย!! ห้องโดยสารโดยรวมเป็นการออกแบบที่เรียบง่าย ตำแหน่งของสวิตซ์บางอย่างยังอยู่สลับที่เพราะเป็นสไตล์ของรถยุโรป การใช้งานในช่วงแรกจึงอาจจะติดๆขัดๆบ้าง แต่ถ้าใช้เวลาอีกนิดก็คงไม่มีปัญหาครับ









                ในส่วนของเบาะนั่งในรุ่น Hatchback เกรด C และ D จะเป็นผ้าสีดำ รุ่น X จะเป็นหนังแท้กับหนังสังเคราะห์สีดำ และรุ่น Xross จะเป็นหนังแท้กับหนังสังเคราะห์สีดำตัดด้วยสีส้มชาเย็นเพิ่มอารมณ์ Sport ขึ้นอีกนิดๆ เบาะหน้านั่งค่อนข้างสบาย ไม่นุ่มไม่แข็งไป ที่พิงศีรษะไม่ดันหัว พอเข้าไปนั่งเบาะหลังมีมุมเอนที่พอดีนะ เบาะรองนั่งจะลาดๆทำให้นั่งสบายอยู่ แต่ถ้าเพิ่มองศามุมเงยขึ้นมาอีกนิดน่าจะนั่งสบายกว่า ส่วนพื้นที่นั้นไม่ต้องห่วงเลยครับทั้งพื้นที่วางขามีเยอะพอสมควร หัวผมไม่ชนเพดานเลย เรียกได้ว่ากว้างขวางกว่าหลายๆเจ้าในตลาดด้วยซ้ำ จึงเป็นอีกจุดขายที่ทำได้ไม่อายใคร!!

                ขุมพลังนั้นคันนี้จะมีเครื่องบล็อกเดียวคือ เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,498 ซีซี หัวฉีด Multi-Point Injection ที่ให้กำลังสูงสุด 106 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 137 นิวตันเมตร ที่ 4,750 รอบ/นาที และปล่อยก๊าซ Co2 ที่ 136 กรัม/กิโลเมตร ระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด SeleMatic (เกียร์กึ่งอัตโนมัติ AMT) พร้อมระบบปรับโหมดการขับขี่ ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ไฮดรอลิก รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.6 มม. ระบบช่วงล่างหน้าแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ระบบช่วงล่างหลังทอร์ชันบีมแบบ H-Type คานขวางแบบ U-Shape ระบบเบรกหน้าเป็นดิสก์เบรกพร้อมช่องระบายความร้อน และระบบเบรกหลังเป็นดรัมเบรก

                มาดูระบบความปลอดภัยกันบ้าง แต่ก่อนที่จะเลื่อนลงไปอ่าน...ดูปากณัชชานะคะ “จาดดดเต็มมมมากกกก!!
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
- ระบบป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD
- ระบบเสริมแรงเบรก BA (Brake Assist)
- ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control)
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
- ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill-Start Assist System)
- ระบบป้องกันการลื่นไถลเมื่อเกียร์ลดต่ำอย่างฉับพลัน MSR (Motor Control Slide Retainer)
- ระบบเซ็นทรัลล็อก
- จุดยึดเบาะนั่งเด็ก (ISOFIX)
- ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock)
ที่ว่ามาข้างต้นนี้ มีมาให้ทุกรุ่นย่อย!!




                เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับรถยนต์น้องใหม่จริงๆ ซึ่งถ้าย้อนกลับไปเมื่อตอนพี่ใหญ่ MG6 เปิดตัวไปก็ต้องบอกว่าคุณกล้ามาก กล้าที่จะตั้งราคามาสูงเกินกว่าที่จะรับได้(มองในแง่ที่เป็นแบรนด์ใหม่) เลยเกิดเป็นกำแพงกั้นตัวเองโดยปริยาย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ MG หันหลังกลับ เพราะหลังจากที่ส่ง MG3 ลงสู่สังเวียนด้วยดีไซต์ที่ไม่ได้ขี้เหร่ รถไม่ได้กากอย่างที่ใครเข้าใจว่ามันเป็นรถจีน!! ผสานกับระบบความปลอดภัยที่...จะบอกไงดีล่ะ..เอาเป็นว่าเจ้าตลาดมีอายอ่ะ และที่สำคัญที่ทำให้คนไทยกล้าเปิดใจนั่นคือเรื่องของ “ราคา” ที่ตั้งมาอย่างสมเหตุสมผลมาก ถ้าไล่กันดีๆจะรู้เลยว่าราคานี่มันเทียบเท่ากับรถกลุ่ม Eco Car ระดับ 4-5 แสนกันเลย แต่มีอีกเรื่องที่ไม่สามารถมองข้ามได้เลยคือเรื่องของศูนย์บริการที่ตอนนี้ยังมีค่อนข้างน้อย แต่ก็กำลังจะขยายให้ครอบคลุม และยอดจองในงาน Motor Show ก็มีจำนวนไม่น้อยเลย จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ชี้ว่าคุณมาถูกทางแล้ว ดังนั้นศูนย์บริการ รวมไปถึงการบริการหลังการขาย MG คงไม่ปล่อยให้ลูกค้าลอยแพแน่!!

                สุดท้ายนี้ผมว่า MG3/Xross เป็นรถน้องใหม่ที่น่าสนใจ คำปรามาสที่มีต่อแบรนด์นั้นยังคงมีอยู่ แต่กำลังเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ด้วย Option กับราคารถที่เป็นมิตร ถึงภายนอกจะไม่ได้เท่ระเบิด ภายในไม่มีจอสัมผัส 7 นิ้ว แต่แค่นี้ผมว่ามันคุ้มแล้วล่ะ กระแสตอบรับที่ดีจึงเป็นการต่อลมหายใจให้นานขึ้น ผมเอาใจช่วย แต่ส่วนไหนที่ยังทำได้ไม่ดีก็ต้องใส่ใจและแก้ไขปัญหากันอย่าง มืออาชีพ ใครสนใจก็เชิญไปชมตัวจริงได้ที่โชว์รูมใกล้บ้าน และอย่าลืมไปทอลองขับกันนะครับ^^
























******************************************************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น